สวัสดีครับ 🙏🏼 ผมชื่อนายวทัญญู กาวีวน หรือเรียกว่า “ครูเควิน” ก็ได้นะครับ ผมเป็นคนไทย เชื้อสายไทย แต่ผมมีความสนใจและหลงไหลในวัฒนธรรมจีน ดังนั้นผมจึงเริ่มศึกษาและเรียนภาษาจีนตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้นชั้นปีที่ 2 ณ โรงเรียนหยินหลิ่ง ภายใต้การดูแลของรัฐบาลไต้หวันและสมาคมยูนนานแห่งประเทศไทย จากนั้นในปี 2016-2017
ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของโครงการเอเอฟเอส (AFS) ณ จีนแผ่นดินไหญ่เป็นเวลา 10 เดือน หลังจากนั้นจึงได้กลับมายังประเทศไทย และศึกษาภาษาจีนต่อจนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายชั้นปีที่ 6 จากนั้นจึงได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ ณ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผมเคยผ่านการสอบการวัดระดับภาษาไทยระดับประเทศ หรือที่เรียกว่า GAT & 9 วิชาสามัญ ดังนั้นผมจึงมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาไทยเป็นอย่างดี อนึ่งด้วยการเป็นนักเรียนคนหนึ่งที่เริ่มเรียนภาษาต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นผมจึงมีความเข้าใจถึงอุปนิสัย ทัศนคติ มุมมอง และความคิดของผู้ที่เรียนภาษา ผมจึงอยากนำเอาวัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมของประเทศไทย เผยแพร่ให้ชาวต่างชาติ หรือผู้ที่สนใจในภาษาไทยได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไปพร้อมๆกัน ผ่านการเรียนภาษาไทยในชั้นเรียนของผม ดังนั้นนักเรียนจะไม่เพียงแค่ได้เรียนรู้ภาษาไทย แต่จักได้เรียนรู้ถึงความเป็นมาของภาษาไทย ความสวยงามและความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใครของภาษาไทย ผมจึงหวังว่านักเรียนจะได้รับความรู้ที่ผมพร้อมมอบให้ไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับ
• หลักสูตรภาษาไทยพื้นฐาน/ภาษาไทยเบื้องต้น
👉🏼 ๑. พยัญชนะ
พยัญชนะไทยมี ๔๔ ดังนี้
ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช
ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด
ต ถ ท ธ น บ ป ผ ฝ พ
ฟ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส
ห ฬ อ ฮ
๑.๒. พยัญชนะไทยมี ๒๑ เสียง
๑. ก ก ๒. ค ขฃคฅฆ ๓. ง ง ๔. จ จ ๕. ช ชฌฉ
๖. ซ ซสศษ ๗. ด ดฎ ๘. ต ตฏ ๙. ท ทธฑฒถฐ ๑๐. น นณ
๑๑. บ บ ๑๒. ป ป ๑๓. พ พภผ ๑๔. ฟ ฟฝ ๑๕. ม ม
๑๖. ย ยญ ๑๗. ร ร ๑๘. ล ลฬ ๑๙. ว ว ๒๐. ห หฮ ๒๑. อ อ
พยัญชนะตัวสะกด
๑. แม่กก ออกเสียงสะกด ก ซึ่งจะใช้พยัญชนะ ก ข ค ฆ เป็นตัวสะกด เช่น นก เลข โรค เมฆ
๒. แม่กด ออกเสียงสะกด ด ซึ่งจะใช้พยัญชนะ ด ต ถ ท ธ ฎ ฏ ฐ ฒ จ ช ซ ศ ษ ส เป็นตัวสะกด เช่น เปิด จิต รถ บาท โกรธ กฎ ปรากฏ เท็จ บงกช ก๊าซ อากาศ พิเศษ โอกาส อิฐ
๓. แม่กบ ออกเสียงสะกด บ ซึ่งจะใช้พยัญชนะ บ ป พ ภ ฟ เป็นตัวสะกด เช่น ดาบ บาป ภาพ กราฟ โลภ
๔. แม่กน ออกเสียงสะกด น ซึ่งจะใช้พยัญชนะ น ร ญ ล ฬ เป็นตัวสะกด เช่น แขน คูณ บุญ อาหาร กล ปลาวาฬ
๕. แม่กง ออกเสียงสะกด ง ซึ่งจะใช้พยัญชนะ ง เป็นตัวสะกด เช่น จริง วิ่ง ลิง สิงห์ พิง มุ่ง สั่ง
๖. แม่กม ออกเสียงสะกด ม ซึ่งจะใช้พยัญชนะ ม เป็นตัวสะกด เช่น นม ดม ลม พรม สม ชิม
๗. แม่เกย ออกเสียงสะกด ย ซึ่งจะใช้พยัญชนะ ย เป็นตัวสะกด เช่น ยาย เนย เคย เลย คุย
๘. แม่เกอว ออกเสียงสะกด ว ซึ่งจะใช้พยัญชนะ ว เป็นตัวสะกด เช่น สิว หิว วัว
พยัญชนะควบกล้ำ
นอกจากเสียงนั้นยังมีพยัญชนะควบกล้ำ พยัญชนะกล้ำคือพยัญชนะ 2 ตัวประสมสระเดียวกันมี ร ล ว
แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
• ควบกล้ำแท้ เป็นพยัญชนะควบกล้ำที่ออกเสียงพร้อมกันทั้ง 2 ตัว เช่น
- ควบด้วย ร กรอบ กราบ เกรง ครอบครัว ตระเตรียม ปราบปราม แพรวพราว
- ควบด้วย ล ไกล กลอง กลับ กลุ่ม กล้วย คลอนแคลน คลี่คลาย เปลี่ยนแปลง
- ควบด้วย ว ไกว กวัดแกว่ง ขวนขวาย ขว้าง ขวาน ควาย
• ควบกล้ำไม่แท้ เป็นพยัญชนะที่เขียนเหมือนควบกล้ำแท้ ร แต่ออกเสียงเพียงตัวเดียวเช่น ไซร้ จริง ทรัพย์ ทรุดโทรม แทรก ทราบ สร้าง สระ เศร้า แสร้ง ศรี อ่านว่า (ไซ้) (จิง) (ซับ) (ซุดโซม) (แซก) (ซาบ) (ส้าง) (สะ) (เส้า) (แส้ง) (สี)
พยัญชนะอักษรนำ-อักษรตาม
อักษรนำ คือ พยัญชนะ 2 ตัวเรียงกัน ประสมสระเดียว พยัญชนะตัวแรกของคำ แบ่งตามลักษณะการอ่านได้ 2 ชนิด คือ
• อ่านออกเสียงร่วมกันสนิทเป็นพยางค์เดียวกัน เมื่อมีตัว ห และ ตัว อ เป็นอักษรนำ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีตัว ห เป็นอักษรนำ เช่น หรู หรา หญ้า หญิง ใหญ่ เหลือ หลาย เหลว ไหล
- หรู หรา – หรูหรา - ห อักษรสูง นำ ร อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ห
- หญ้า หญิง ใหญ่ – หยิง - ห อักษรสูง นำ ญ อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ห
- เหลือ หลาย เหลว ไหล – เหลือหลาย – ห อักษรสูง นำ ล อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ห
• เมื่อมีตัว อ เป็นอักษรนำ ย มี 4 คำ คือ อย่า อยู่ อย่าง อยาก
- หย่า หยู่ หย่าง หยาก - อ อักษรกลาง นำ ย อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม อ
• อ่านออกเสียงเป็น 2 พยางค์ โดยพยางค์แรกอ่านออกเสียงเหมือนมีสระ อะ ประสมอยู่กึ่งเสียง
ส่วนพยางค์หลังอ่านตามสระที่ประสมอยู่ และอ่านออกเสียงวรรณยุกต์ตามพยัญชนะตัวแรก เช่น
- จมูก จะ-หมูก จ อักษรสูง นำ ม อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ห
- สนอง สะ-หนอง ส อักษรสูง นำ น อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ห
- ตลาด ตะ-หลาด ต อักษรกลาง นำ ล อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ต
- สนาม สะ-หนาม ส อักษรสูง นำ น อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ส
- ผลิต ผะ-หลิต ผ อักษรสูง นำ ล อักษรต่ำ ออกเสียงวรรณยุกต์ตาม ผ
👉🏼 ๒. ชนิดของคำ
คำนาม
คำนาม หมายถึง คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ พืช สิ่งของ สภาพ ลักษณะ แบ่งออกเป็น ๕ ชนิด
๑. คำนามสามัญ (สามานยนาม) เป็นคำที่ใช้เรียกชื่อทั่วไป เช่น ครู นักเรียน โรงเรียน กีฬา ฯลฯ
• นักเรียนเล่นกีฬา
• ครูเตรียมสอน
• โรงเรียนเปิดรับสมัครนักเรียน
๒. คำชื่อเฉพาะ (วิสามานยนาม) เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ พืช สิ่ง ของ สถานที่ เช่น คณิตศาสตร์ สตรีวิทยา งามจิต ฐิฑิมา ฯลฯ
• โรงเรียนสตรีวิทยา เปิดเทอม
• ฐิฑิมาสอบได้ที่ 1 ของชั้น ป.5
• ครูงามจิตสอนวิชาคณิตศาสตร์
๓. คำนามรวมหมู่ (สมุหนาม) เป็นนามที่ใช้เรียกนามซึ่งอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เช่น คณะ กอง กลุ่ม หมู่ ฝูง โขลง พวก พรรค วง ฯลฯ
• กองทหารกำลังออกรบ
• ฝูนนกบินบนฟ้าจำนวนมาก
• คณะครูไปอบรมต่างจังหวัด
๔. คำนิยมธรรม ( อาการนาม) คือคำนามที่ใช้ “การ” หรือ “ความ” นำหน้าคำกริยา และใช้ “ความ” นำหน้าคำวิเศษณ์
เช่น การเกิด การเดิน การวิ่ง การนอน ความรัก ความตาย ความคิด ความรู้ ความดี ความสุข ฯลฯ
• พ่อแม่มีความรักที่บริสุทธิ์
• การนอนของเธอชั่งเรียบง่าย
• ดูเธอมีความสุขที่ได้แต่งงาน
๕. คำลักษณนาม เป็นคำบอกลักษณะของนาม แบ่งย่อยได้ ๖ ชนิด ดังนี้
๕.๑ ลักษณนามบอกชนิด เช่น
• รูป ใช้กับ ภิกษุ สามเณร
• เล่ม ใช้กับ หนังสือ เทียน
• ใบ ใช้กับ หมอน หมวก
๕.๒ ลักษณนามบอกหมวดหมู่ เช่น
• ฝูง ใช้กับ นก ปลา
• กอง ใช้กับ ทหาร อิฐ ทราย
๕.๓ ลักษณนามบอกสัณฐาน เช่น
• วง ใช้กับ แหวน วงกลม แตรวง
• หลัง ใช้กับ เรือน มุ้ง
• บาน ใช้กับ ประตู หน้าต่าง
• แผ่น ใช้กับ กระดาษ กระเบื้อง
๕.๔ ลักษณนามบอกจำนวนและมาตรา เช่น
• คู่ ใช้กับ รองเท้า ถุงเท้า ช้อนส้อม
• โหล ใช้กับ ของที่รวมกันจำนวน ๑๒ ชิ้น เช่น สมุด แก้ว
๕.๕ ลักษณนามบอกอาการ เช่น
• จับ ใช้กับ ขนมจีน
• จีบ ใช้กับ พลู
• มวน ใช้กับ บุหรี่
๕.๖ ลักษณนามซ้ำชื่อ เช่น
• เมือง ประเทศ ตำบล จังหวัด ทวีป ฯลฯ
👉🏼 ๓. การใช้คำ
คำแทนเสียงต่างๆ
ภาษาไทยมีรูปและเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์มาก สามารถนำมาใช้เขียนแทนเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงอุทาน เสียงธรรมชาติ หรือเสียงคำพูด ในภาษาอื่นได้อย่างใกล้เคียง ดังนี้
๑. ใช้แทนเสียงร้องของสัตว์ต่าง ๆ เช่น แมวร้องเหมียว ๆ ช้างร้องแปร๋น ๆ
๒. ใช้แทนเสียงดังของวัตถุ เช่น เสียงแตรดังปี้น ๆ เสียงนาฬิกาดังติ๊กต๊อก เสียงกลองดังตุ้ม ๆ
๓. ใช้แทนเสียงดังจากธรรมชาติ เช่น เสียงน้ำตกดังซู่ ๆ เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ๆ เสียงฟ้าร้องดังครืน ๆ
๔. ใช้แทนเสียงอุทานของคน เช่น อุ๊ย! ว้าย! อ้าว! โอ๊ย!
๕. ใช้แทนเสียงเอื้อนของบทเพลง เช่น หน่อย นอย น้อย นอยนอย น้อย
๖. ใช้แทนเสียงที่มาจากภาษาอื่น เช่น ฟรี เจี๊ยะ โน้ต บะหมี่ เชิ้ต
👉🏼 ๔. ประโยค
ส่วนประกอบของประโยค
ประโยคประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๒ ส่วน ดังนี้
- ภาคประธาน ประกอบด้วย ประธานและคำขยายประธาน
- ภาคแสดง ประกอบด้วย กริยาและคำขยายกริยา
นอกจากนี้ อาจมีกรรมและคำขยายกรรมด้วย การสร้างประโยคอาจให้ภาคประธานหรือภาคแสดงขึ้นต้นประโยคก็ได้
• ถ้าให้ภาคประธานขึ้นต้นประโยค เช่น
- สมชายชอบหลับในเวลาเรียน
- สุนัขของสมปองไล่กัดแมวอย่างดุร้าย
• ถ้าให้ภาคแสดงขึ้นต้นประโยค เช่น
- วิ่งเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบดื่มน้ำ
- เดินจนเมื่อยขา เธอก็ยังไม่บ่น
ประโยคที่ใช้ในการสื่อสารแบ่งเป็น 6 ชนิด ดังนี้
๑. ประโยคบอกเล่า
เป็นประโยคบอกว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เป็นการ แจ้งเรื่องราว บอกข่าวต่างๆ เช่น
- ตาของข้าพเจ้ามีอาชีพทำไร่ทำนา
- เมื่อช่างปั้นหม้อเสร็จก็นำไปแกะสลักลวดลาย และนำไปอบในเตาเผา
- มีดาราคนหนึ่งยิงตัวตายในลิฟต์ ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรม
๒. ประโยคปฏิเสธ
เป็นประโยคมีใจตรงข้ามกับประโยคบอกเล่า อันความไม่ตอบสนองต่อผู้ถาม มักใช้คำว่า ไม่ ไม่ได้ ไม่ใช่ มิได้ ประกอบในประโยค
- ผมไม่ได้ขโมยยางลบเขาไปนะ
- เธอไม่สามารถมากินข้าวกับผมได้
- ตาของผมเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมือง
๓. ประโยคคำถาม
เป็นประโยคที่ใจความ มักแสดงคำถามอยู่หน้าหรือหลังประโยค มี ๒ ชนิด ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบ มักใช้คำว่า อะไร ใด ไหน เมื่อไร อย่างไร เหตุใด เท่าใด อยู่หน้าหรือท้ายประโยคก็ได้ เช่น
- ใครเป็นคนทำกับข้าวไว้ให้
- วันนี้กินอะไร
- เราจะไปเชียงใหม่โดยการเดินทางแบบใด
ประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบรับ หรือปฏิเสธ มักมีคำว่า หรือ หรือไม่ ไหม ท้ายประโยค เช่น
- ยางลบก้อนนี้ของคุณหรือ
- คุณไปกินข้าวกับผมได้หรือไม่
๔. ประโยคคำสั่ง
เป็นประโยคบอกให้ทำหรือไม่ให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักจะละประธานไว้ ประโยคจะมี ๒ ลักษณะ คือ ประโยคสั่งให้ทำ มักใช้กริยาขึ้นต้นประโยค จะใช้คำว่า จง แต่หากมีประธานขึ้นต้นจะมีคำว่า ซิ นะ หน่อย ต่อท้ายประโยค เช่น
- จงนั่งเร็วๆหน่อย
- เธอพูดดีๆนะ
- จงทำตามที่เธอสั่ง
ประโยคห้าม หรือสั่งไม่ให้ทำ มักละประธาน และใช้คำว่า อย่า ห้าม ขึ้นต้นประโยค เช่น
- อย่าเดินลัดสนาม
- ห้ามทิ้งขยะลงชักโครก
- ห้ามจับปลาฤดูวางไข่
๕. ประโยคแสดงความต้องการ
เป็นประโยคที่มีใจความแสดงความต้องการ อยากได้ อยากมี อยากเป็น มักมีความว่า ต้องการ ปรารถนา ประสงค์ อยู่ในประโยค เช่น
- ฉันปรารถนาที่จะบินได้เหมือนนก
- เเม่ต้องการให้ฉันเป็นเด็กดี
- พ่อประสงค์ให้ฉันเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
๖ .ประโยคขอร้อง ชักชวน และอนุญาต
เป็นประโยคมีใจความขอร้อง ชักชวน หรืออนุญาต อาจละประธานไว้ มักมีความว่า ซิ หน่อย นะ น่า อยู่ท้ายประโยค และมีความว่า โปรด กรุณา ช่วย วาน อยู่หน้าประโยค เช่น
- โปรดอย่าส่งเสียงดังในห้องสมุด
- เราออกไปเดินเล่นงานกาชาดกันดีกว่านะ
- เธอเข้าไปเถอะนะ
ผมได้ผ่านการสอบวัดระดับภาษาจีนระดับ 5 และการสอบวัดระดับการพูดภาษาจีน (ระดับกลาง) และได้ผ่านการสอบวัดระดับการสอบภาษาไทยระดับประเทศ ได้แก่ GAT 135/150 คะแนน และ 9 วิชาสามัญ ภาษาไทย 73/100 คะแนน หลังจากนั้นจึงได้รับเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา และได้เรียนวิชาภาษาไทยระดับสูง เช่น การเขียนภาษาไทยในรูปแบบของบทความ หรือจดหมาย การฟังข่าวและเขียนสรุป หรือการอ่านบทความและเขียนสรุป เป็นต้น
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างตน ผมจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะนำเอาความรู้เกี่ยวกับการเรียนภาษาไทยที่ถูกต้อง สอนให้แก่นักเรียนผู้ที่มีความสนใจและมีความมุมานะพยายามที่อยากเรียนภาษาไทยให้ประสบผลสำเร็จ การเรียนภาษาใดๆก็ตาม ช่วงแรกทุกคนย่อมประสบพบเจอกับความท้อแท้ และความกดดัน แต่นักเรียนจงเชื่อมั่นในตนเอง และตั้งใจเรียน มีวินัย ตั้งใจทำการบ้าน หมั่นทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นักเรียนจะสามารถเป็นผู้ที่มีความรอบรู้เกี่ยวกับภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยได้อย่างแน่นอน